วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การเตรียมความพร้อมการศึกษาในอนาคต


ครูในศตวรรษที่ 21

กระแสโลกาภิวัฒน์ทำให้สังคมประเทศและสังคมโลกเปลี่ยนแปลงด้านพลังอำนาจของชาติด้านต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตสงครามเย็นยุติ มหาอำนาจทางทหารเหลือหนึ่งเดียว คือ สหรัฐอเมริกา การแข่งขันด้านเศรษฐกิจมีความรุนแรง โดย แยกเป็น 3 ขั้วอำนาจ คือ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และเอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่นและจีนประเทศต่าง ๆ สร้างความเข็มแข็งให้เยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติให้ได้มาตรฐาน เรียนรู้ คิดเป็น สร้างนวัตกรรมได้ เพื่อความอยู่รอดของชาติและเผ่าพันธุ์ตนเองที่แท้จริงในอนาคต

ในสังคมใหม่มีการกล่าวถึงคำว่า “ การครอบโลก” คือการสั่งการโดยอำนาจทางเศรษฐกิจของมหาอำนาจต่าง ๆ พิเชียร คุระทอง (2541:2) กล่าวว่าเห็นด้วยกับ กมล กมลตระกูล ที่ได้ให้ความหมายด้านมืดของโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ว่าเป็น “การครอบงำโลก” ถ้าไม่มองโลกาภิวัฒน์ 2 ด้าน แล้วไม่สร้างภูมิต้านทานให้ตนเองหลงใหลตามกระแสโลกทั้งหมด ประเทศโลกที่ 3 ที่ยากจนจะถูกระแสโลกฉุดกระชากไปสู่ความหายนะ อนาคตความอยู่รอดของชาติและเผ่าพันธุ์ของชาติ กลับแปรเปลี่ยนเป็น “ทรัพยากรมนุษย์” ที่ต้องมีความรู้รอบด้านและมีสมรรถนะด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ทันสมัยและสามารถแสวงหาความรู้ได้เองจากสื่อทุกประเภท เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ความรู้ใหม่ โดยการวิจัยทดลอง การลองผิดลองถูกเพื่อเป็นทรัพย์สมบัติของชาติตน ดังแนวทางของชาวยุโรปได้เคยกระทำมาแล้วในอดีตเมื่อ 100 กว่าปีที่ผ่านมาลองผิดลองถูก ทำการวิจัยตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ผลที่ได้เป็นศาสตร์ใหม่ นวัตกรรมใหม่และทุกคนยอมรับเป็นมาตรฐานสากล

ดังนั้นการดำเนินการพัฒนาดังกล่าว ครูและบุคลากรทางการศึกษาจึงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญโดยตรงและโดยอ้อมที่จะถ่ายทอดความรู้ความสามารถแก่ศิษย์ทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านความรู้ ความคิด หรือพุทธพิสัย (Cognitive Domain) ด้านความรู้สึก อารมณ์ สังคมหรือด้านจิตพิสัย ( Affective Domain) ด้านทักษะปฏิบัติหรือทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) ด้านทักษะการจัดการหรือทักษะกระบวนการ(Management Skill) ซึ่งเป็นความจำเป็น 4 ประการในการพัฒนามนุษย์ให้มีคุณภาพ และประสิทธิภาพ
คุณลักษณะของครูและผู้สนับสนุนการศึกษายุคใหม่จึงน่าจะประกอบด้วยคุณลักษณะต่าง ๆ เช่น คุณลักษณะของผู้นำทางการศึกษาที่มีวิสัยทัศน์ คุณลักษณะทางเทคโนโลยีทางการศึกษา และคุณลักษณะของผู้มีคุณธรรมตามแนวทางคำสอนของทุกศาสนา
1. คุณลักษณะของผู้นำ ที่มีวิสัยทัศน์ มีคำกล่าวว่า “ผู้นำต้องสอนผู้นำ” และเอกสารวิจัย ทำนุ พรหมาพันธ์ (2529: ค) กล่าวถึงการถ่ายทอดทางทหารเป็นลักษณะบอกเล่าประสบการณ์ทางทหารต่อ ๆ กัน พีระศักดิ์ ทวีคูณ (2529 :ข) ได้สรุปว่าผลการวิจัยเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของผู้นำทางทหารที่ต้องการไว้ดังนี้ “ผู้นำทางทหารที่ประสบผลสำเร็จในการบริหารหน่วยงาน จะต้องเป็นผู้บริหารที่ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ไม่หยุด หมั่นศึกษาหาความรู้ ปรับตนเองเข้ากับสถานการณ์ ทันต่อเหตุการณ์เป็นพลวัต โดยใช้วิธีการ ระบบสารสนเทศที่ถูกต้องรวดเร็วและนวัตกรรม ทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นเครื่องมือช่วยในการบริหารงาน” จากที่กล่าวมาแล้ว ครูจึงน่าต้องเป็นผู้นำด้วย

การเป็นผู้นำหรือภาวะผู้นำ ที่ยอดเยี่ยมและประจักษ์โดยทั่วไปในปัจจุบันคงต้องกล่าวถึง The West point สถาบันทางทหารที่ผลิตนายทหารสัญญาบัตรและพลเรือนชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทั่วไปคุณสมบัติของผู้นำพลเรือนและพวกทหารก็มีความคล้ายคลึงกันเพียงแต่ว่าฝ่ายไหนจะเน้นคุณสมบัติข้อไหนเท่านั้น เมื่อภาระหน้าที่ที่ทำเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายอย่างเช่นในยามสงคราม ต้องเรียนรู้ที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเอาจริงเอาจัง รู้จักให้ความสนใจกับคนรอบข้างและตนเองต้องไม่มองข้ามความสำคัญของทุกสิ่งรอบตัว คุณสมบัติเหล่านี้ต้องมีให้ครบ ในสถานการณ์เสี่ยงภัยแบบนั้นจะสอนให้คนมีปฏิกิริยาบางอย่าง เร็วขึ้นกว่าในภาวะปกติกว่าแบบการทำงานในองค์กรพลเรือน พฤติกรรมที่ว่านี้คือจะมีการเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาสูง มีความจงรักภักดี มีความตั้งอกตั้งใจ รู้จักเสียสละและมีความซื่อสัตย์

แต่ในปัจจุบันนี้ในวงการธุรกิจเอกชนที่มีการแข่งขันกันมาก ราวกับการสู้รบในสมรภูมิ การเรียนรู้คุณสมบัติเหล่านี้ให้รวดเร็วทันการณ์ก็จะพบว่าเป็นประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง อำนาจกำลังรบที่ไม่มีตัวตน ซึ่งหมายความถึงภาวะทางจิตที่ต้องสร้างให้คนมีความอดทน เชื่อฟัง คล้อยตามต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ จนชำนาญไม่ตื่นตระหนกสามารถเข้าทำการรบได้จริงเมื่อมีสถานการณ์ หรือปฏิบัติการณ์ที่สำคัญ ๆ ได้โดยจิตวิญญาณนักรบของทุกชั้นยศซึ่งยอมรับด้วยเกียรติยศที่ห้ามหยามหมิ่นเป็นสิ่งที่ผู้นำทางทหารทั่วไปให้ความสำคัญกว่าพลเรือน

ผู้นำที่สามารถชี้นำกลุ่มกระทำการได้บรรลุผลสำเร็จ สามารถแก้ไขเหตการณ์ในภาวะคับขันในภาวะคับขันด้วยการสร้างสรร ไม่ทำลายโดยขาดสติถือว่าเป็นผู้นำชั้นยอด และหากเหตุการณ์เดียวกันผู้นำตัดสินใจผิดพลาดก็ไม่ต่างกับฆาตรกรที่ทำลายองค์กรและกลุ่ม ชื่อเสียงของ The West point ช่วงตลอดอายุอันยาวนานเกือบเท่าอายุประเทศสหรัฐอเมริกาของสถาบันแห่งนี้ ผู้ที่เคยผ่านรั้วเวสต์ ปอยด์ มีทั้งผู้นำทางทหารหลายต่อหลายคน อาทิ ดั้กลาส แมกอาเธอร์ ดไวท์ ดี ไอเซนเฮาว์ นายพลห้าดาวผู้ลือลั่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นอร์แมน ชว็อซคอฟ แห่งยุทธการการพายุทะเลทราย มาถึงรุ่นล่าสุด คอลลิน เพาเวลล์ รัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศสหรัฐอเมริกาและผู้นำพลเรือนอย่าง โรเบิร์ต วู้ดแห่งเซียร์ โรบั้ค แรนด์ อราชค็อก ประธานบริษัทไอทีที แฟรงค์ บอร์แมน อดีตนักบินอวกาศและอดีตประธานบริษัทอีสเทอร์น แอร์ไลน์ ตลอดจนบริษัทใหญ่อีกหลายแห่ง ปรัชญาการฝึกฝนและปฏิบัติของชาวเวสต์ ปอยด์ จึงยังคงความขลังอยู่เสมอให้บุคคลผู้ปราถนาจะเป็นผู้นำ ที่ประสบผลสำเร็จในการได้เรียนรู้ ซึมซับและเข้าใจแก่นแท้ของความคิด ตลอดจนการฝึกฝนเคี่ยวกรำอย่างหนักที่หล่อหลอมให้นักเรียนนายร้อยเวสต์ ปอยด์ เป็นผู้มีบุคลิกภาพและคุณลักษณะพิเศษ

Col. Larry R.Donnithorne ( 1994 ) อดีตอาจารย์นักเรียนนายร้อยเวสต์ ปอยด์กล่าวถึง ผู้นำที่มีคุณลักษณะหมายถึง ลักษณะผู้นำที่ต้องการให้นักเรียนนายร้อยเวสต์ ปอยด์ มี ดังนี้ ความมั่นใจ ความทะเยอทะยาน ความกล้าหาญ ความเฉลียวฉลาด มีวาทะจูงใจ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความเมตตาและที่ควรมีตัวผู้นำทางทหารอย่างมากที่ไม่ควรมองข้ามคือความซื่อสัตย์ เป็นที่ไว้วางใจอย่างไม่มีข้อกังขาใด ๆแม้ในภาวะคับขันและคุณลักษณะอีกอันหนึ่งที่ผู้นำควรมีคือ ความก้าวร้าว ผู้นำทุกคนต้องประสบกับการเสี่ยงภัย ยิ่งต้องเสี่ยงมากระดับความกลัวก็มากขึ้น วิธีที่ดีที่สุดที่จะฝึกตัวเองให้จัดการกับความกลัวได้ เมื่อต้องอยู่กับความเสี่ยงสูงก็คือ เอาชนะความกลัวให้ได้ในสภาวะคับขัน ผู้นำทุกคนจำเป็น (Needs) จะต้องมีความก้าวร้าว แต่ผู้นำที่ดีจะต้องรู้จักควบคุมความก้าวร้าว ต้องไม่มีการระเบิดวาจาออกมาเพราะขาดการควบคุมตนเอง ผู้นำทุกคนต้องเสียสละอย่างสุดชีวิตเพื่อนำองค์กรของตนเองไปสู่ชัยชนะ ความก้าวร้าว เป็นบุคลิกอันหนึ่งที่ผู้นำต้องใช้เมื่อเป้าหมายคือชัยชนะ แต่ผู้นำมีคุณลักษณะที่ดีทั้งทางพลเรือนและทหาร ต้องเข้าใจว่าชัยชนะจะต้องได้มาด้วยวิธีการที่ขาวสะอาด Col. Larry R.Donnithorne ( 1994:48)
2. คุณลักษณะของเทคโนโลยีทางการศึกษา เทคโนโลยีทางการศึกษา หมายถึง การสื่อสารเพื่อการถ่ายทอดทางการศึกษาแก่ผู้เรียนด้วยสื่อ เช่น คอมพิวเตอร์ มัลติมีเดีย (สื่อประสม) ฯลฯ
มัลติมีเดีย หมายถึง อุปกรณ์ที่ใช้งานกับ คอมพิวเตอร์
พรพิไล เลิศวิชา (2544) กล่าวถึงการใช้มัลติมีเดีย ว่าควรใช้ดังนี้ เป็นเครื่องมือสร้างภาพแทนข้อมูลตัวเลขในรูปกราฟ ต่าง ๆ อธิบายหลักการคณิตศาสตร์ สมการ และการพิสูจน์ต่าง ๆ ใช้แสดงผลของความสัมพันธ์ที่สามารถกำหนดเงื่อนไขและค่าตัวแปรต่างๆ ได้ เพื่อทดลองสังเกตและฝึกแก้ปัญหา - ใช้ตารางคำนวณ (Spread Sheet) - ใช้ในงานข้อมูล งานสถิติ ใช้เปรียบเทียบประมวลผลข้อมูลในงานต่าง ๆ - ใช้เป็นฐานข้อมูลบันทึกรวบรวมคัดเลือกแยกหมวดหมู่ข้อมูลต่าง ๆ ทำดัชนีและระบบค้นหา - ใช้สร้างงานสารานุกรมบนจอคอมพิวเตอร์ที่มีระบบเน้นอักษรขยายความ (Multimedia Interartive Hypertext Encyclopaedia) ทำให้การค้นคว้าทำได้เร็วและได้ผลดี - เป็น database search engine สำหรับค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เนต - ใช้สร้างสิ่งแวดล้อมจำลองสถานการณ์ (Simulation) สร้างสภาพการทำงานจำลอง จำลองกระบวนการผลิตแบบอุตสาหกรรม และจำลองอื่น ๆ - เป็นเครื่องมือในการสาธิตระบบโต้ตอบต่าง ๆ - เป็น Word Processer เตรียมเอกสาร หรือเตรียมเนื้อหาต่าง ๆ สำหรับงานพิมพ์ - เป็นเครื่องมือสร้างดนตรี งานศิลปและงานสร้างสรรต่างๆ
- ใช้เป็นเครื่องมือช่วยออกแบบระบบกลไกและอุปกรณ์ไฟฟ้า ออกแบบโครงการ งานสถาปัตยกรรม หรือแม้กระทั่งออกแบบโมเลกุลสารอินทรีย์ในระดับซับซ้อน - เป็นเครื่องมือสำหรับนักเรียนใช้ฝึกเขียนโปรแกรม - ใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างครู ผู้ปกครอง ผู้เชี่ยวชาญ นักเรียน นักศึกษาและสมาชิกของชุมชน

สถาบันชั้นนำทางทหารของโลก อีกแห่งหนึ่งคือ โรงเรียนนายร้อยแซนเฮสต์ (Royal Military Academy Sandhurst) ของประเทศอังกฤษ ที่กล่าวถึงคุณลักษณะด้านการสื่อสารเพื่อการศึกษา (Communication Studies Competency) ในตัวนายทหารหนุ่ม (young officer) ว่าเป็นความต้องการจำเป็น (needs) น่าจะรู้และเข้าใจวิถีของผู้นำและความสามารถในการสื่อสาร (Communication) ให้ชัดเจนในทุกปัจจัยที่เกี่ยวข้อง (All professional context) เช่น การสัมมนา (Seminar) การจดบันทึกข้อมูล (lectures) เป็นต้น รายการตัวบ่งชี้ที่พอจะจัดเข้ามาในกลุ่มเพื่อกระทำ (Performance ) เป็นสมรรถนะด้านนี้คือ
การแสดงผลงาน (Presentation Skills) การใช้ภาษาอังกฤษ (Written English)
การสัมภาษณ์ (Interviewing) การเจรจาต่อรอง (Negotiation) การติดต่อใกล้ชิดของสื่อทางการทหารและสื่อมวลชน (Military/Media Relations and Media hanging) การใช้คอมพิวเตอร์ (Basic Computer Skills) ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Interpersonal Skills)
ทฤษฏีการเรียนรู้แนวคอนสตรัคติวิสม์ Constructivism ปิอาเช่ต์ ( Jean Piaget) เสนอว่า ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ขึ้นมา เมื่อเขาลงมือทำ แสวงหาเหตุผล ค่อยๆ ทำความเข้าใจจนได้ข้อสรุป ได้ความรู้มาด้วยการลงมือเอง ผู้เรียนได้ความรู้มาโดยผ่านกระบวนการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมของผู้เรียนเอง ตัวผู้เรียนเองค่อยสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับโลกของตัวเขา ทฤษฎีใหม่ๆ ในใจของผู้เรียนจะเพิ่มพูนขึ้นเข็มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งได้มาโดยอาศัยตรรกต่างๆ ที่เขาค่อยๆ สะสมขึ้นมาจากการเรียนรู้เอง (Concept)
ทฤษฏีคอนสตรัคติวิสม์ นั้นได้รับการกล่าวถึงและเผยแพร่กว้างขวางโดยอาจารย์ ซีมัวร์ เพเพิร์ต (Seymour Papert) ทฤษฏีคอนสตรัคติวิสม์ ได้ขยายความหมายของ Constructivism ออกไปโดยที่อธิบายว่า การศึกษาต้องเน้นให้เด็กสร้างความรู้ขึ้นมาเอง ถ้าเด็กมี อะไร อยู่ข้างในเป็นฐานแล้ว จากสัมพันธภาพกับสิ่งต่างๆ เด็กต้องสร้างสิ่งอื่นๆ ขึ้นมาใหม่ อันเป็นบันไดขั้นถัดไปจากการแสวงหาความรู้เบื้องต้น
สิ่งแวดล้อมที่ช่วยสร้างบรรยากาศในการสร้างความรู้ของเด็กในความคิดของ Papert คือ
1. บรรยากาศและเงื่อนไขที่เปิดโอกาสให้เด็กสร้างสรรค์สิ่งที่เขาสนใจได้อย่างแท้จริง 2. สภาพแวดล้อมสังคมที่มีความหลากหลายเอื้อให้เด็กได้ร่วมมือร่วมคิดกับคนอื่น
3. คุณลักษณะของผู้มีคุณธรรมตามแนวทางคำสอนของทุกศาสนา หลักศาสนาทุกศาสนานั้นมีคำสอนที่ดีเพื่อให้มนุษย์เมื่อเกิดมาอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สร้างความดี ไม่เบียดเบียน ละเว้นความชั่ว อบายมุขทั้งปวง ตลอดทั้งขัดเกลาจิตใจของมนุษย์ให้อยู่ในกรอบของความดีงามตั้งแต่เด็กจนเติบโต ผู้นำที่ดีต้องมีคุณธรรมและจรรยาบรรณเป็นของตนเอง ขอยกเอาหลักการฝึกสอนผู้นำของเวสต์ ปอยต์ เป็นหลักการที่เยี่ยมมากและมีเนื้อหาครอบคลุมสิ่งต่าง ๆ อย่างกว้างขวางขั้นตอนที่ใช้ก็สมเหตุสมผล เป็นหลักการที่ดีทั้งในทางทฤษฏีและในทางปฏิบัติ แต่สิ่งที่ทำให้หลักสูตรของเวสต์ ปอยต์ เด่นที่สุดคือเป้าหมายของการเรียนการสอนการเป็นผู้นำการ “นำ” ของผู้นำจากเวสต์ ปอยต์ มีรากฐานแห่งศีลธรรมจรรยาเป็นหลัก รากฐานที่ได้รับการปลูกฝังไว้อย่างแน่นหนา นักเรียนนายร้อยที่สำเร็จการศึกษาแบบเวสต์ ปอยต์ จะกลายเป็นผู้นำที่มีคุณลักษณะ ที่เวสต์ปอยด์ผู้นำทุกคนต้องถือความสำคัญของวาจาเท่าเทียมกับการกระทำของเขา และการรักษาคุณธรรมประจำสถาบันเหนือความสัมพันธ์อันเหนี่ยวแน่นของพวกพ้อง

กฎของเวสต์ ปอยด์ ข้อหนึ่ง กล่าวว่า “ คุณธรรมขององค์กรมีความสำคัญเหนือความจงรักภักดีในระหว่างพวกพ้อง” Col. Larry R.Donnithorne ( 1994:66) ถ้าเวสต์ ปอยด์ ละเว้นกฎข้อนี้แล้ว การจะสร้างให้องค์กรมีประสิทธิภาพย่อมเป็นไปไม่ได้ อันตรายของการที่พวกพ้องเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นก็คือจะทำให้เป้าหมายของกลุ่มมีความสำคัญกว่าเป้าหมายขององค์กรที่พวกเขามีส่วนร่วมอยู่องค์กรจะกลายเป็นของ "พวกเขา” ไปแทนที่จะเป็น “ พวกเรา” เวสต์ ปอยด์ เริ่มต้นการสอนหลักศีลธรรมจรรยาและวิชาอื่นๆ ด้วยการให้เขาเรียนรู้กฎระเบียบก่อนกฎแห่งคำสัตย์ปฏิญาณเมื่อผู้นำนักเรียนนายร้อยย่างเข้ามาในโรงเรียนแล้ว เขาต้องเข้าพิธีสาบานตน รับคำสัตย์ปฏิญาณที่มีเนื้อหาฟังดูอ่อนหวานและตรงไปตรงมา มีใจความว่า “นักเรียนนายร้อยจะต้องไม่โกหก ไม่คดโกง ไม่ขโมยและจะต้องไม่ยินยอมให้ผู้ใดกระทำการเหล่านี้ “ และนั้นคือแห่งถ้อยคำเกียรติยศ และสอดแทรกการอบรมศิลธรรมโดยอนุศาสนาจารย์ที่เป็นสายเลือด ที่ผ่านการศึกษาด้านจิตวิทยาในระดับสูง
จากที่ผู้เขียนได้กล่าวมาแล้วทั้งหมดเป็นแนวความคิดของผู้เขียนที่รวบรวมจากเอกสาร สื่อ หลายแบบเพื่อเป็นแนวคิด ด้านการพัฒนาคุณลักษณะของครูและผู้สนับสนุนการศึกษายุคใหม่ที่น่าจะประกอบด้วยคุณลักษณะต่าง ๆ เช่น คุณลักษณะของผู้นำทางการศึกษา คุณลักษณะทางเทคโนโลยีทางการศึกษา และคุณลักษณะของผู้มีคุณธรรมตามแนวทางคำสอนของทุกศาสนา โดยยกตัวอย่างของ The West point สถาบันทางทหารที่ผลิตนายทหารสัญญาบัตรและพลเรือนชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา คงพอสรุปเป็นภาพรวมตอนท้ายนี้ได้ว่า อนาคตของเยาวชนของชาติก็คืออนาคตของประเทศ น่าจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งรับผิดชอบในการพัฒนาคุณภาพ ประสิทธิภาพ ไม่ว่าทั้งโรงเรียน ครอบครัว ฯลฯ แต่คงจะต้องผูกพันกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการกระทำ จากการกำหนดนโยบาย การปฎิบัติ การตรวจสอบ การประเมินประสิทธิผล ซึ่งคงจะต้องตามความเปลี่ยนแปลงในกระแสของโลก ที่จะกำหนดตัวบ่งชี้ มาตรฐานของทุกสิ่งที่เกิดมาว่า “ควรอยู่ต่อไป” หรือ “ควรพัฒนาขึ้นไปอีก"

ที่มา gotoknow.org

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น